ในวันที่คำพิพากษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หัวใจของทนายต้องแข็งแรงพอที่จะประคองตัวเองให้ก้าวต่อไปบนเส้นทางอีกยาวไกล
มนต์อนันต์ เรืองจรัส
Managing Partner, MR & Partners
เส้นทางวิชาชีพที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ความกดดัน และผลลัพธ์ที่ไม่อาจควบคุมได้โดยลำพัง
หลังจากที่ผมได้เผยแพร่บทความเรื่อง “หัวใจของวิชาชีพทนายความ : คุณภาพ จรรยาบรรณ และความไว้วางใจ” ไปเมื่อไม่นานนี้ ก็ปรากฏข่าวคำพิพากษาคดีข้อพิพาทของพี่น้องตระกูลใหญ่จากหลายสำนักข่าว ซึ่งผมจะได้กล่าวถึงความเกี่ยวข้องในคดีในตอนท้ายบทความชิ้นนี้ คดีนี้ทำให้ผมย้อนนึกถึงอีกหนึ่งประเด็นสำคัญของวิชาชีพทนายความที่ยังไม่สมบูรณ์ในบทความก่อนหน้า นั่นคือในขณะที่ทนายความต้องได้รับความไว้วางใจจากลูกความ พร้อมจะเดินเคียงข้างและเป็นที่พึ่งในทุกช่วงเวลาของปัญหา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทนายความก็ต้องตระหนักและหมั่นดูแลหัวใจของตนเองให้มั่นคงอยู่เสมอ เพราะเส้นทางในอาชีพนี้เต็มไปด้วยความคาดหวัง ความกดดัน และผลลัพธ์ที่ไม่อาจควบคุมได้โดยลำพัง
ทนายความทุกคนย่อมตระหนักดีว่าการแพ้หรือชนะคดีไม่เคยเป็นผลลัพธ์ที่ขึ้นอยู่กับฝีมือเพียงอย่างเดียว หากขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และบทกฎหมายที่นำมาประกอบกันอย่างเป็นระบบก่อนนำเสนอศาล หรือเกิดจากปัจจัยอื่นที่ไม่อาจคาดหมาย ดังนั้นตลอดเส้นทางวิชาชีพ ทนายความย่อมต้องเผชิญทั้งวันที่ได้รับคำชมเชย เสียงแสดงความยินดี และความปลื้มปีติจากลูกความ รวมถึงวันที่ผลคดีไม่เป็นไปตามที่หวัง ซึ่งความไว้วางใจที่เคยมีอาจสั่นคลอนจนไม่อาจเดินร่วมทางกันต่อได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของงานและเป็นความจริงที่ทนายทุกคนต้องยอมรับให้ได้
ไม่มีใครที่ไม่เคยแพ้
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในวิชาชีพ ผมเองย่อมผ่านทั้งความสำเร็จและความพ่ายแพ้มาไม่น้อย จะให้บอกว่าเคยชินก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว แม้ทุกครั้งที่ชนะคดีจะทำให้รู้สึกชื่นใจและภาคภูมิใจ เพราะเป็นผลลัพธ์ของแรงกาย แรงใจ และสติปัญญาที่ทุ่มเทลงไปอย่างเต็มที่ บางครั้งก็ได้รับคำชื่นชมดุจดั่งฮีโร่ตามธรรมชาติของผู้คนที่ผูกความสำเร็จของคดีกับตัวทนาย แต่เมื่อผลคดีตรงกันข้าม ความเข้าอกเข้าใจและความมั่นใจที่ลูกความเคยมีต่อเราก็มักจะเลือนหายไปแทบจะในทันที ตามมาด้วยบรรดากุนซือ ผู้รู้(หรืออาจไม่รู้) และเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากรอบด้านซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามถึงการวางรูปคดี การนำสืบพยาน การวิเคราะห์ข้อกฎหมาย หรือแม้แต่การเขียนคำอุทธรณ์และฎีกา เขียนสั้นก็ว่าไม่ละเอียด เขียนยาวก็ว่าเยิ่นเย้อ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ทนายความต้องรับมือด้วยสติและความมั่นคงทางใจ พร้อมทั้งต้องคัดกรองอย่างระมัดระวังว่าอะไรควรรับฟังเพื่อช่วยให้คดีสมบูรณ์ขึ้น และอะไรควรปล่อยผ่านเพื่อไม่ให้หลงทางจากหลักวิชาชีพที่ถูกต้อง
สำหรับผม หลักใหญ่ใจความที่ยึดมั่นมาตลอดคือความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ทางวิชาชีพ หากข้อเสนอแนะจากลูกความหรือกุนซือไปไกลจนกลายเป็นการบิดเบือนสาระสำคัญของคดี หรือขัดแย้งกับความถูกต้องตามความเห็นทางกฎหมายของผมเอง ผมจะตัดสินใจขอถอนตัวโดยไม่ลังเล เพราะทนายความไม่ควรทำงานในแบบที่ขัดกับตัวตนและจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพ และไม่ควรเดินบนเส้นทางที่ทำให้สูญเสียมาตรฐานที่ตนเองยึดถือมาโดยตลอด ความมั่นคงในหลักการนี้เองเป็นสิ่งที่ช่วยประคองหัวใจของทนายไว้ไม่ให้สั่นคลอนจนหลุดออกจากแก่นแท้ของความเป็นมืออาชีพ
การให้เกียรติทนายความชุดเดิมเมื่อต้องรับหน้าที่แทน
หลายครั้งผมได้รับการติดต่อให้เข้าไปทำคดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาแทนทนายความชุดเดิมที่ทำคดีในศาลชั้นต้น ซึ่งแพ้มาแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมถือเป็นหลักเสมอว่าต้องให้เกียรติทนายความชุดเดิม เพราะพวกเขาคือผู้ที่รู้ลึกถึงข้อเท็จจริง คำเบิกความ พยานหลักฐาน และรายละเอียดที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาคดี
หลายครั้งผมขอให้ตัวความยังคงให้ทนายเดิมร่วมทำงานไปด้วยกัน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพลิกคดีในศาลสูง ไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ แต่คือการมองข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานเดิมให้ลึกซึ้งจนตกผลึกและชี้ให้เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยคลาดเคลื่อนอย่างไร การเขียนอุทธรณ์หรือฎีกาเป็นการเรียบเรียงมุมมองและเหตุผลเชิงกฎหมาย ไม่ใช่การตำหนิหรือกล่าวโทษงานของผู้ร่วมวิชาชีพ และนี่คือแนวทางที่ผมยึดถือมาโดยตลอด ด้วยความเคารพต่อศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมวิชาชีพทนายความ
ตัวอย่างคดีดังในวันที่คำพิพากษาพลิกกลับมาชนะคดี
ผมขอยกตัวอย่างหนึ่งในคดีที่เป็นข่าวคือข้อพิพาทในตระกูลใหญ่ดังที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้น เพราะเป็นคดีที่ผมเคยทำหน้าที่เป็นทนายโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทำให้ผลคดีในเบื้องต้นเป็นฝ่ายแพ้ แต่ผมยังได้รับความไว้วางใจให้ทำอุทธรณ์ต่อ แม้ในระหว่างกระบวนการจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกุนซือและความลังเลของลูกความซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ผมก็ยังยืนอยู่บนหลักการเดิมว่าเราต้องรักษาความเป็นตัวของตัวเอง ปรับปรุงบางประเด็นตามความเหมาะสม แต่ไม่หลงทิ้งหลักวิชาชีพ จนกระทั่งได้ยื่นอุทธรณ์ในแนวทางที่เห็นว่าถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อลูกความที่สุด
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของผลคดีและแรงกดดันที่สะสมในช่วงนั้น ทำให้การทำหน้าที่ในคดีอื่นๆที่เกี่ยวข้องของลูกความรายเดียวกันไม่ราบรื่น ผมตัดสินใจยุติการให้บริการทางกฎหมายทุกคดีเพื่อรักษาคุณค่าและความถูกต้องที่ผมเชื่อมั่นเสมอมา ต่อมาเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำขอบคุณหรือคำยกย่องจากตัวความ เพราะผมได้ทำใจไว้ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเดินออกมาแล้ว สิ่งที่ผมรู้สึกมีเพียงความภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา และภูมิใจในทีมงานที่ทำงานอย่างเต็มกำลังจนผลลัพธ์สะท้อนความจริงดังที่ปรากฏ
รับมือให้ได้ทั้งเสียงชื่นชมและในวันที่ถูกสั่นคลอน
ทั้งหมดนี้จึงอยากบอกทนายความรุ่นใหม่ว่า วิชาชีพทนายความไม่ใช่เพียงการเดินเคียงข้างลูกความในทุกข์และสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินเคียงข้างหัวใจของตัวเองด้วย เส้นทางนี้ดูเหมือนจะงดงามก็จริง แต่บางคราวก็เปราะบางอย่างยิ่ง อย่าให้ความพ่ายแพ้ครั้งใดมาทำลายหัวใจของคุณ และอย่าให้คำชื่นชมชั่วขณะใดนำมาสู่ความหลงตนเอง เพราะสิ่งที่ทำให้ทนายความคนหนึ่ง “ยืนอยู่ได้อย่างยาวนาน” ไม่ใช่การชนะคดี หากเป็นการไม่แพ้ตัวเองในวันที่ถูกสั่นคลอนที่สุด หากคุณรักษาตัวตนและอุดมการณ์ของตัวเองไว้ให้มั่นคงได้ คุณก็ได้ชนะในสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว
____________________________________________

